สรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
published: 28/2/2557 14:25:23 updated: 28/2/2557 14:25:23 1441 views THสรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้
๑. ศรส.ได้รับแจ้งจากศูนย์ข่าวร่วมและตำรวจสันติบาลว่า ยอดผู้ชุมนุมของ กปปส. ทุกเวทีจำนวนรวมกันเมื่อวานนี้ คือ ๓,๙๐๐ คน ซึ่งนับว่ามีจำนวนลดน้อยลงเป็นลำดับ ศรส.จึงขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ได้ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา โดยไม่เข้าร่วมชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสนับสนุน กปปส. กลุ่มคัดค้าน กปปส. กลุ่ม นปช. หรือกลุ่มอื่น ๆ การที่พี่น้องประชาชนงดเว้นไม่เข้าร่วมชุมนุม ยังเป็นผลดีต่อการหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการสูญเสียชีวิตและการบาดเจ็บจากเหตุร้ายต่าง ๆ ที่ทวีความรุนแรงขึ้นด้วย สำหรับการชุมนุมของกลุ่ม กวป. ที่บริเวณด้านหน้าสำนักงาน ป.ป.ช. นั้น ศรส.ขอเรียกร้องให้แกนนำที่จัดการชุมนุมได้เลิกการชุมนุมเพราะได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้เส้นทางการจราจรบนถนนนนทบุรี ๑ เป็นอย่างมาก รวมถึงการชุมนุมปิดกั้นประตูสำนักงาน ป.ป.ช. ทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. และข้าราชการไม่สามารถเข้าออกเพื่อทำงานตามปกติได้ แกนนำ กวป. จะต้องรับผิดชอบกับการกระทำดังกล่าว ซึ่งเป็นการสร้างเงื่อนไขความยุ่งยากให้แก่บ้านเมืองมากขึ้นไปอีก
๒. ศรส.ขอขอบคุณศาลอาญาที่ได้กรุณาสั่งไม่เพิกถอนหมายจับแกนนำ กปปส. ๑๘ คน ประเภทหมาย ฉ. ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ โดยศาลอาญามิได้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแพ่งที่สั่งห้าม ศรส. ๙ ข้อ มาใช้พิจารณาตามคำร้องของฝ่ายผู้ต้องหา ศรส.จะได้ดำเนินการติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้ง ๑๘ คนต่อไป แม้การเข้าจับกุมจะทำได้ลำบากตามคำสั่งของ ศาลแพ่งก็ตาม
๓. ตามนโยบายของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส. โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม ศรส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ดำเนินการเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ถึง ๖๓ แห่งแล้ว แต่หลังจากที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษา ส่งผลให้ ศรส.ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหลักตามกฎหมายได้ และเป็นผลให้ กปปส. ไปบุกรุก ปิดล้อมสถานที่ราชการและขับไล่ข้าราชการไม่ให้ทำงานอีก ข้อมูลจนถึงเช้าวันนี้ กปปส. ได้กลับไปบุกรุกปิดล้อมส่วนราชการและบริษัทเอกชน รวมจำนวน ๑๔ แห่ง ซึ่ง ศรส.จะได้พยายามทุกวิถีทางให้สถานที่ราชการดังกล่าวกลับมาเปิดให้บริการอีกให้จงได้
๔. ศรส.ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ว่า ได้รับคดีที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ดังนี้
๑) คดีขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น ๑๙๐ คดี แยกเป็นคดีที่ กปปส.ในกรุงเทพมหานครกระทำการขัดขวางการเลือกตั้ง ๕๑ คดี และคดีที่ กปปส.ในต่างจังหวัดกระทำการขัดขวางการเลือกตั้ง ๑๓๙ คดี
๒) คดีที่เจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งไม่จัดการเลือกตั้ง รวมทั้งสิ้น ๑๗๓ คดี แยกเป็นคดีที่เกิดในกรุงเทพมหานคร จำนวน ๖๒ คดี และคดีที่เกิดในต่างจังหวัดจำนวน ๑๑๑ คด รวมคดีที่เกี่ยวกับการกระทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งทั้งสิ้น ๓๖๓ คดี โดยศาลได้ออกหมายจับให้ รวมทั้งสิ้น ๑๔๑ คน ได้ตัวมาสอบสวนแล้ว ๕๙ คน ทั้งนี้เฉพาะเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งไม่จัดการเลือกตั้งมีจำนวนถึง ๗๖๖ คน ซึ่งโทษที่เกี่ยวข้องกับการขัดขวางการเลือกตั้งเป็นความผิดอุกฉกรรจ์ที่มีทั้งโทษจำคุกและปรับ รวมถึงการตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา ๕ ปี ตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ ศรส.จึงได้กำชับให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีดังกล่าวโดยรวดเร็วและรัดกุม เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการกระทำความผิดซ้ำอีก โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในเร็ววันนี้
๕. ผู้อำนวยการ ศรส.ได้มีหนังสือแจ้งปลัดกระทรวงทุกกระทรวงที่ถูก กปปส. ปิดล้อม บุกรุกสถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐในการกำกับดูแล ให้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษหรือฟ้องคดีทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งกับแกนนำ กปปส. โดยต้องแยกดำเนินการเป็นต่างกรรมต่างวาระทุกครั้ง ที่มีการเข้าปิดล้อมและบุกรุกภายใน ๗ วัน หลังจากเกิดเหตุทุกครั้งไป
๖. ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ต้องหาในฐานความผิดร่วมกันเป็นกบฏที่เป็นแกนนำ กปปส. บางคนในจำนวน ๕๘ คน ได้ไปก่อความเดือดร้อนและคุกคามบุคคลต่าง ๆ เช่น ไปห้อมล้อม คุกคาม เป่านกหวีด และพูดจาข่มขู่บุคคลต่าง ๆ ตามที่สาธารณะ เช่น ศูนย์การค้านั้น เป็นการกระทำที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ศรส.จึงเห็นควรให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษออกหมายเรียกผู้ต้องหาเหล่านี้มาดำเนินคดีในข้อหาหลัก คือ ข้อหาร่วมกันเป็นกบฏดังกล่าว และหากไม่มาพบพนักงานสอบสวนจะได้ดำเนินการขอออกหมายจับเพื่อการจับกุมต่อไป
จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน