สรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2557
published: 8/2/2557 14:28:06 updated: 8/2/2557 14:28:06 1792 views THสรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2557
ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. มีผลการประชุมที่สมควรแจ้งพี่น้องประชาชน ดังนี้
1. ผู้อำนวยการ ศรส. ได้มีหนังสือเรียกผู้บริหารของโรงแรมดุสิตธานีและโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ มาพบพนักงานเจ้าหน้าที่ของ ศรส. ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 14.00 นาฬิกา เพื่อซักถามเกี่ยวกับการให้ที่พักพิงหลบซ่อนของแกนนำ กปปส. จำนวนหนึ่ง ที่กระทำความผิดจนศาลได้ออกหมายจับ หากชี้แจงไม่ได้จะพิจารณาดำเนินคดีฐานเป็นผู้ให้การสนับสนุนการกระทำผิดของแกนนำโดยเฉพาะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ศรส. จึงขอแจ้งเตือนอีกครั้ง ขอให้กลุ่มทุนที่ให้การสนับสนุนในลักษณะท่อน้ำเลี้ยง กลุ่มโรงแรม กลุ่มบริษัทเครื่องอุปโภคบริโภค ยานพาหนะ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ขอให้หยุดการช่วยเหลือแกนนำ กปปส. ที่ร่วมกันกระทำผิดทันที ขณะนี้ ศรส.กำลังสืบสวนสอบสวนอย่างจริงจัง และจะดำเนินคดีกับผู้ร่วมกระทำผิดหรือสนับสนุนการกระทำผิดทุกราย
2. ตามนโยบายของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส. โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม ศรส.ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ทำพิธีเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดบริการได้ ขณะนี้สามารถเปิดได้ถึง 36 แห่งแล้ว และกำลังทยอยเปิดเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม แกนนำ กปปส. ก็ยังคงพยายามส่งมวลชนมาปิดล้อม คล้องโซ่ คล้องกุญแจซ้ำอีก ศรส. จึงได้มอบแนวทางแก่ส่วนราชการว่า ให้หลีกเลี่ยงการปะทะหรือกระทบกระทั่ง โดยการผ่อนปรน หากกลุ่ม กปปส. จะมาปิดล้อม ก็เป็นเพียงเชิงสัญลักษณ์ชั่วคราวไม่กี่ชั่วโมง ก็ให้หยุดการทำการชั่วคราว แล้วให้กลับทำงานตามปกติต่อไป วิธีนี้จะทำให้สามารถเปิดทำงานให้บริการประชาชนได้ต่อไป โดยไม่ต้องปะทะกับกลุ่ม กปปส. แต่หากกลุ่ม กปปส. ปิดล้อมเกินกว่า 1 ชั่วโมง ศรส.จะจัดเจ้าหน้าที่หน่วยผสมเคลื่อนที่เร็วไปผลักดันการปิดล้อมและบุกรุกสถานที่ราชการทันที
3. ศรส.ยังคงเร่งรัดให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วมที่สำคัญ ๆ จากกรณีร่วมกันกระทำผิดขัดขวางการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 มกราคม และวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ด้วยการปิดกั้น ปิดล้อม กีดกัน ข่มขู่ มิให้มีการขนบัตรเลือกตั้งและขัดขวางไม่ให้ประชาชนเข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้ อันเป็นความผิดอุกฉกรรจ์ ซึ่งศาลได้ออกหมายจับผู้กระทำผิดให้ประมาณ 20 คน แล้วนั้น ศรส. ได้กำชับให้ขยายผลดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดทุกคน เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในการกระทำผิด ซึ่งจะต้องมีการเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้นี้อีก อนึ่ง สำหรับการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนในการกระทำผิดขัดขวางการเลือกตั้ง เช่น สั่งปิดการลงคะแนนโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือจงใจละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่นั้น ขณะนี้รับคดีไว้แล้ว 20 คดี ศรส.ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนที่ได้ถ่ายภาพผู้กระทำผิดไว้ในเหตุการณ์ดังกล่าว ได้โปรดส่งหลักฐานได้ที่สถานีตำรวจทุกแห่ง หรือติดต่อที่หมายเลข 1599 ศรส. ถือเป็นนโยบายว่า การกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้งของ กปปส. เป็นความผิดที่ร้ายแรง มีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยตรง จึงจะต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีการละเว้น
4. กรณีการสั่งเนรเทศ นายสาธิต เซกัล แกนนำ กปปส. ที่ถูกดำเนินคดีเป็นหนึ่งใน 58 คนนั้น ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ จะต้องมีขั้นตอนดำเนินการ ซึ่งขณะนี้ผ่านขั้นตอนการพิจารณาของกรมสอบสวนคดีพิเศษและตำรวจตรวจคนเข้าเมืองแล้ว มีความเห็นควรสั่งให้ออกไปนอกราชอาณาจักร จากนี้ไปจะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการที่มีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานว่าจะเห็นชอบตามข้อเสนอของทั้งสองหน่วยงานหรือไม่ หากเห็นชอบจะเสนอผู้อำนวยการ ศรส. ลงนามคำสั่งให้ออกไปนอกราชอาณาจักรต่อไป ทั้งนี้ ตามปกติแล้ว กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์ได้ แต่ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ไม่มีบทบัญญัติเช่นนั้น จึงต้องถือว่ายุติ คาดว่าผู้อำนวยการ ศรส. จะออกคำสั่งให้ นายสาธิต เซกัล ซึ่งเป็นคนต่างด้าวออกไปนอกราชอาณาจักรได้ภายในเร็ววันนี้ ส่วนการผลักดันออกนอกประเทศเป็นวิธีปฏิบัติของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง อนึ่ง การสั่งให้คนต่างด้าวออกไปนอกราชอาณาจักรเช่นนี้ได้เคยดำเนินการมาแล้วในอดีต เมื่อครั้งการชุมนุมเมื่อปี พ.ศ. 2553 นายเดวิด โดเนอร์ ชาวออสเตรเลียได้ขึ้นเวทีเสื้อแดง ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้ถูกสั่งให้ออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชกำหนดฉบับนี้เช่นกัน นอกจากนั้น ยังถูกควบคุมตัวก่อนให้ออกนอกราชอาณาจักรถึง 89 วันด้วย
5. ศรส. ขอยืนยันว่า การเข้าทำการจับกุมแกนนำ กปปส. ที่ศาลได้กรุณาออกหมายจับให้จำนวนหนึ่งแล้วนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าทำการจับกุมอย่างแน่นอน แต่จะกระทำด้วยความระมัดระวังตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ไม่ต้องการให้ใช้กำลังจนเกิดการสูญเสีย ซึ่งอาจทำให้พี่น้องประชาชนต้องได้รับบาดเจ็บหรืออันตรายโดยไม่รู้เรื่องไปด้วย ซึ่งตามข้อเท็จจริงมีความชัดเจนว่า แกนนำ กปปส. มีการ์ดรุมล้อมและมีอาวุธร้ายแรงคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา
จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน