DSI สนธิกำลังตำรวจ บุกค้นบ้านพักกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด 3 จุดในพื้นที่เชียงราย

เผยแพร่: 31 มี.ค. 2565 12:03 น. ปรับรุง: 31 มี.ค. 2565 12:03 น. เปิดอ่าน 1923 ครั้ง  
 

DSI สนธิกำลังตำรวจ บุกค้นบ้านพักกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด 3 จุดในพื้นที่เชียงราย


           จากนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของนายสมศักดิ์  เทพสุทิน  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ภายใต้ปฏิบัติการ “พาลีปราบยา” ให้ยึดทรัพย์สินและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทางกฎหมายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 อันจะทำให้การดำเนินการยึดทรัพย์ของเครือข่ายยาเสพติดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  
​    ล่าสุดวันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2565) นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวน   คดีพิเศษ ได้มอบหมายให้นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผู้อำนวยการกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 5 (เชียงใหม่) เร่งดำเนินการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อยื่นคำร้องขอหมายค้นจากศาลจังหวัดเชียงราย เพื่อเข้าปฏิบัติการตรวจค้นบ้านพักของกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด  โดยให้สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรแม่สาย และสถานีตำรวจภูธรเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เข้าตรวจค้นบ้านพักของกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด (คดีพิเศษที่ 32/2564) จำนวน 3 จุดพร้อมกัน ได้แก่ ตำบลเวียงพางคำ อำเภอ  แม่สาย 2 จุด และตำบลป่าสัก อำเภอเชียงแสน 1 จุด
   จากการตรวจค้นสามารถยึดเอกสารและพยานหลักฐานได้เป็นจำนวนมาก โดยได้ตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินของกลุ่มเครือข่ายบุคคลดังกล่าว ปรากฏมีวงเงินหมุนเวียนมากถึง 1,900 ล้านบาท จึงได้ดำเนินการอายัดทรัพย์สินไว้เพื่อทำการตรวจสอบ ดังนี้
    ​    1. อายัดบัญชีธนาคารของกลุ่มเครือข่ายดังกล่าว จำนวน  246  บัญชี
    ​    2. อายัดรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จำนวน 155 คัน เป็นเงินประมาณ 130 ล้านบาท
            3. อายัดโฉนดที่ดิน จำนวน 232 แปลง เป็นเงินประมาณ 1,250 ล้านบาท
             รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,380 ล้านบาท
   ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะได้ดำเนินการมีหนังสือเรียกบุคคลที่ถือกรรมสิทธิ์ในรถยนต์และรถจักรยานยนต์ รวมทั้งเจ้าของที่ดินมาชี้แจง หากไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินดังกล่าวได้ จะได้ใช้มาตรการทางกฎหมายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ยึดทรัพย์เพื่อเข้ากองทุนป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป  รวมทั้งจะได้เร่งดำเนินคดีกับกลุ่มเครือข่ายผู้กระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และความผิดตามประมวลรัษฎากรฐานหลีกเลี่ยงภาษีอีกด้วย

ข่าวล่าสุด

ข่าวที่น่าสนใจ