ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในคดีบริษัท คอนเซ็ปต์ ซีรี่ส์ จำกัด กับพวก รวม 17,065 ปี

เผยแพร่: 22 พ.ย. 2567 13:41 น. ปรับรุง: 22 พ.ย. 2567 13:44 น. เปิดอ่าน 74 ครั้ง  
 

ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในคดีบริษัท คอนเซ็ปต์ ซีรี่ส์ จำกัด กับพวก รวม 17,065 ปี



            ตามที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 ให้ทำการสอบสวนเป็นคดีพิเศษที่ 63/2564 กรณีประชาชนเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับบริษัท คอนเซ็ปต์ ซีรี่ส์ จำกัด กับพวกรวม 7 ราย ซึ่งมีพฤติกรรมในการหลอกลวงประชาชนให้เข้าร่วมลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับการบริการให้เช่าพื้นที่จัดเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์บนระบบคลาวด์ด้วยเทคโนโลยี “สโตเรจบล็อก” อันเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ มีประชาชนที่หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงเป็นจำนวน 3,431 ราย มีมูลค่าความเสียหายรวมทั้งสิ้น จำนวน 1,558,120,345.82 บาท ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้ทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนเสร็จสิ้นภายในเวลา 6 เดือน และได้ส่งสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 ได้พิจารณาสำนวนการสอบสวนแล้วมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาดังกล่าวเป็นจำเลยต่อศาลอาญา ในคดีหมายเลขดำที่ อ 1616/2565 แล้วนั้น


            ตลอดระยะเวลาในการพิจารณาคดี พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 ได้พิจารณาวางแนวทางการนำเสนอข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานอย่างมีระบบเป็นขั้นเป็นตอน กระทั่งในเวลาต่อมาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายแลขแดงที่ อ 3668/2567 ในคดีเรื่องดังกล่าวโดยพิพากษาว่า บริษัท คอนเซ็ปต์ซีรี่ส์ จำกัด จำเลยที่ 1 นายศุภสรร (สงวนนามสกุล) จำเลยที่ 2 บริษัท สโตเรจซิตี้ แพลตฟอร์ม จำกัด จำเลยที่ 3 โดยมี นายศุภสรรฯ จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการบริษัท นางสาวพิมพ์ณดา (สงวนนามสกุล) จำเลยที่ 4 เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการบริษัททั้งสองแห่ง นายจักรพันธ์ (สงวนนามสกุล) จำเลยที่ 5 เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการบริษัททั้งสองแห่ง และนางสาวสุภาพร (สงวนนามสกุล) จำเลยที่ 7 มีหน้าที่จัดการด้านการเงินของบริษัทและมีหน้าที่ในการเบิกถอนเงินเพื่อจ่ายผลตอบแทนให้ผู้เสียหายผู้ต้องหามีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 เป็นการหลอกลวงผู้เสียหายหลายครั้งหลายคราวต่างคนต่างวาระกันจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามจำนวนผู้เสียหายที่ถูกหลอกแต่ละคราวเป็นความผิด 3,413 กรรม ให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกตามผู้เสียหายแต่ละคนทุกกระทงไปลงโทษปรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทงละ 500,000 บาท รวม 3,413 กระทง แล้วปรับจำเลยที่ 1 และที่ 3รายละ 1,706,500,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 กระทงละ 5 ปี รวม 3,413 กระทง เป็นจำคุกคนละ 17,065 ปี จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ปรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 รายละ853,250,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 6,826 ปี กับอีก 20,478 เดือน แต่ความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มีระวางโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 10 ปี ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ศาลลงโทษผู้กระทำผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ไม่เกิน 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) จึงให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 คนละ 20 ปี และให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่ผู้เสียหายและร่วมกันหรือแทนกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินที่ผู้เสียหายได้รับความเสียหายนับแต่วันที่เกิดเหตุจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 6 นางสาวกนกพร (ผู้ต้องหา)



               กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนมายังพี่น้องประชาชนให้ใช้ความระมัดระวังในการลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการถูกชักชวนให้ลงทุนในธุรกิจที่มีการเสนออัตราผลประโยชน์ตอบแทนจำนวนที่สูงในระยะเวลาอันสั้น ทั้งนี้ เพื่อมิให้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพได้โดยง่าย


เอกสารที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ข่าวที่น่าสนใจ