DSI เผย ศาลอาญาพิพากษา จำคุก 335 ปี กรณี กลุ่มบุคคลร่วมกันฉ้อโกงบัตรเครดิต

เผยแพร่: 27 ม.ค. 2567 10:37 น. ปรับรุง: 29 ม.ค. 2567 9:29 น. เปิดอ่าน 5384 ครั้ง  
 


DSI เผย ศาลอาญาพิพากษา จำคุก 335 ปี กรณี กลุ่มบุคคลร่วมกันฉ้อโกงบัตรเครดิต 

ตระเวนหลอกลวงทำสัญญาจะซื้อจะขาย-เช่าโรงแรม/อะพาร์ตเมนต์ พื้นที่กรุงเทพ เกาะช้าง 

และเมืองท่องเที่ยวหลายจังหวัดในราคาสูงเกินจริง สุดท้ายนำไปหลอกลวงธนาคารขอใช้เครื่องรูดบัตรและนำเข้าข้อมูลบัตรเครดิตเท็จฯ ทำธนาคารสูญเงินกว่า 11 ล้านบาท 

             กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอประชาสัมพันธ์คำพิพากษาศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1164/2565  คดีหมายเลขแดงที่ อ.3042/2566 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2566 กรณีพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัทเบลล์ยา จำกัด กับพวก รวม 6 คน ในคดีความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ฉ้อโกง และความผิดต่อพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ 

             กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากได้มีผู้แทนของธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ได้ยื่นหนังสื่อร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวน   คดีพิเศษให้ทำการสืบสวนสอบสวน กรณีธนาคารตรวจสอบพบว่า ระหว่างเดือน พฤศจิกายน 2557 ถึงเดือนธันวาคม 2557 มีกลุ่มชาวต่างชาติร่วมกับคนไทยนำสัญญาจะซื้อจะขายโรงแรมในพื้นที่อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดกระบี่ จังหวัดกาญจนบุรี และเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ รวมทั้งสัญญาเช่าโรงแรม/อะพาร์ตเมนต์ในพื้นที่ดังกล่าว จำนวนหลายแห่ง มายื่นขอใช้เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture : EDC) กับธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทย รวม 6 ธนาคาร และขอเปิดใช้บริการระบบการทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ (Off Line) อาศัยช่องว่างของระบบการชำระเงินผ่านทางเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture : EDC) โดยทำรายการธุรกรรมแบบออฟไลน์ (Off Line) ด้วยการนำบัตรเครดิตของธนาคารต่างประเทศ จำนวน 29 ใบ มาทำธุรกรรมผ่านเครื่องรูดบัตรดังกล่าวโดยข้ามขั้นตอนการขอกันวงเงินกับธนาคารต่างประเทศเจ้าของบัตร และหลอกลวงนำรหัสอ้างอิงการชำระเงินที่เป็นเท็จเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารเจ้าของเครื่องรูดบัตร จำนวนหลายครั้ง จนเป็นเหตุให้ธนาคารแห่งหนึ่งหลงเชื่อโอนเงินให้กับกลุ่มคนร้าย จำนวน 16 ล้านบาทเศษ แต่ภายหลังตรวจสอบพบสามารถอายัดเงินได้บางส่วน ยังคงได้รับความเสียหาย 11,633,101 บาท ส่วนธนาคารอื่น ๆ ส่วนใหญ่พบความเสียหายจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบอันเป็นการกระทำเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้อื่นได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิ์ใช้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าหรือบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด ฐานฉ้อโกง รวมทั้งความผิดฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จในระบบคอมพิวเตอร์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยรับเป็นคดีพิเศษที่ 107/2558 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ทำการสอบสวนและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด โดยได้ส่งสรุปสำนวนคดีพิเศษให้แก่พนักงานอัยการและมีความเห็นควรสั่งฟ้องกลุ่มผู้ต้องหาและพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลอาญาแล้ว

             ต่อมา ศาลอาญาได้มีคำพิพากษา ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/5, 269/7 ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 9, 14 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 มาตรา 91 ฐานร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบ อันเป็นการกระทำเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้อื่นได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิ์ใช้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าหรือบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสดโดยจำเลยมีความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน ให้จำคุกอดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัทเบลล์ยา จำกัด ในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 2 จำนวน 335 ปี 264 เดือน ให้จำคุกอดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัทเอเชีย ออย แอนด์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 4 จำนวน 105 ปี 132 เดือน และให้จำคุกอดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัทพีเค 289 คอนโดทาวน์ จำกัด ในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 6 จำนวน 105 ปี 132 เดือน โดยคงจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และอดีตกรรมการบริษัทเอเชีย ออย แอนด์เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ชดใช้เงินคืนแก่ธนาคาร จำนวน 11,633,101 บาท 

               กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงขอแจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการบริการท่องเที่ยว โรงแรม บริษัท ห้างร้าน หรือประชาชน ให้ระมัดระวังมิจฉาชีพที่อาจใช้ช่องทางการซื้อ ขายกิจการ หรือการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งไม่มีการซื้อ ขายจริง โดยอ้างว่ารัฐบาลได้สนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่งมิจฉาชีพอาจใช้กลโกงต่าง ๆ เช่น หลอกให้โอนเงินค่ามัดจำหรือค่าจองล่วงหน้าก่อน หลอกให้ร่วมลงทุนในกิจการท่องเที่ยวที่ไม่น่าเชื่อถือ หลอกให้ทำธุรกรรมทางการเงิน (โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารปลอม) เป็นต้น จึงควรตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนทำธุรกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว หากหลงเชื่อหรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด อาจได้รับโทษตามกฎหมาย

เอกสารที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ข่าวที่น่าสนใจ