DSI ยืนยัน คดีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ยังดำเนินการ
เผยแพร่: 17 เม.ย. 2561 15:57 น. ปรับรุง: 17 เม.ย. 2561 15:57 น. เปิดอ่าน 2179 ครั้ง
DSI ยืนยัน คดีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่
ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ยังดำเนินการ
ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อสาธารณะ กรณีหนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์ ประจำวันที่ 17 เมษายน 2561 ได้นำเสนอแถลงการณ์ของ คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2561 เกี่ยวกับคดีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือ “บิลลี่” นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ที่หายตัวไปในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ว่า “ประเทศไทย : ยังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในวันครบรอบ 4 ปีที่ “บิลลี่” ถูกบังคับสูญหาย” และระบุว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษปฏิเสธการรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ โดยได้เรียกร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนและสอบสวนเรื่องดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ นั้น
เนื่องจากข้อมูลกรณีดังกล่าวคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงอยู่มาก กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงขอชี้แจงทำความเข้าใจต่อสาธารณชน ดังนี้
1. นายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ได้หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ระหว่างที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมในความผิดเก็บของป่าและถูกควบคุมตัวอยู่
2. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก่งกระจาน พื้นที่เกิดเหตุ ได้ดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมนายพอละจีฯ ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีอ้างว่าจับกุมนายพอละจีฯในความผิดเก็บของป่า แต่ปล่อยตัวไปโดยไม่ได้ดำเนินคดี และส่งสำนวนการสอบสวนไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ สำนักงาน ป.ป.ท. แล้ว โดยเรื่องอยู่ระหว่างการไต่สวน
3. นางพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมีนอ ภรรยาของนายพอละจีฯ ได้ยื่นเรื่องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนเกี่ยวกับการหายตัวไปของนายพอละจี ฯอีกทางหนึ่ง และขอให้รับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำงานโดยบูรณาการกับตำรวจภูธรภาค 7 และหน่วยงานในพื้นที่ ปัจจุบันสืบสวนเสร็จแล้ว เห็นว่าการหายตัวไปอาจเกิดจากการกระทำผิดอาญา กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงเสนอเรื่องต่อคณะอนุกรรมการคดีพิเศษ และคณะอนุกรรมการคดีพิเศษได้เสนอความเห็นควรรับเป็นคดีพิเศษต่อคณะกรรมการคดีพิเศษในการประชุมครั้งที่ผ่านมาแล้ว ในการประชุม คณะกรรมการคดีพิเศษเห็นว่ายังขาดข้อมูลในส่วนที่คณะกรรมการ ป.ป.ท.ดำเนินการอยู่มาประกอบการพิจารณามีมติว่าไม่ซ้ำซ้อนกับอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ท. และเนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญที่กระทบอำนาจการสอบสวน คณะกรรมการคดีพิเศษจึงมีมติให้กรมสอบสวนคดีพิเศษไปดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนดังกล่าว และนำเสนอเพื่อประกอบการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษเพื่อมีมติในครั้งต่อไป
กรมสอบสวนคดีพิเศษยืนยันว่าการดำเนินการทุกประการเป็นไปตามกฎหมาย และเรื่องยังอยู่ในกระบวนการทำงาน มิใช่มีมติไม่รับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษแล้วตามที่ปรากฏในข่าวแต่อย่างใด จึงชี้แจงมาเพื่อทราบ./
คณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ
17 เมษายน 2561
*******************************