ดีเอสไอ บุกจับตัวการใหญ่ชาวไทย ร่วมขบวนการต้มตุ๋นแชร์ข้ามชาติ
เผยแพร่: 15 ธ.ค. 2560 10:22 น. ปรับรุง: 15 ธ.ค. 2560 10:22 น. เปิดอ่าน 3221 ครั้ง EN
ดีเอสไอ บุกจับตัวการใหญ่ชาวไทย ร่วมขบวนการต้มตุ๋นแชร์ข้ามชาติ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงยุติธรรมที่มุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ โดยเฉพาะกลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดย พันตำรวจเอกไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพันตำรวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สั่งการให้ พันตำรวจโท ไพศิษฎ์ สังคหะพงศ์ ผู้อำนวยการกองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 103/2560 ดำเนินการสืบสวนสอบสวน กรณี บริษัท อีเกิ้ล เกทส์ กรุ๊ป จำกัด กับพวก มีพฤติการณ์เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ หลอกลวงผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถพิสูจน์ทราบพฤติการณ์การกระทำความผิดของบริษัท อีเกิ้ล เกทส์ กรุ๊ป จำกัด กับพวก ซึ่งยังความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและทำให้ประชาชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
ผลจากการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดังกล่าว ศาลอาญาได้ออกหมายจับบุคคลชาวไทยและต่างชาติทั้งสิ้น 10 ราย ประกอบด้วยชาวต่างชาติ 8 ราย และชาวไทย 2 ราย คือ นายรัฐเขต ฉายารัตน และนางกนกกุล พรอภิโชติ ซึ่งเป็นตัวการใหญ่ ในความผิดฐาน “ร่วมกันกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 5 พ.ร.ก.การกู้ยืมเงิน ที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 4 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ประกอบมาตรา 83 และศาลอาญายังได้ออกหมายค้นสถานที่ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
โดยเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560 และ 14 ธันวาคม 2560 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ โดยการสนธิกำลังกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และสำนักงาน ปปง. ได้จับกุมตัวนายรัฐเขต ฉายารัตน และนางกนกกุล พรอภิโชติ ผู้ต้องหาตามหมายจับ พร้อมเข้าตรวจค้นสถานที่ทั้งสิ้น 8 แห่ง ประกอบด้วยคอนโดลุมพินี เมกะซิตี้ บางนา 1 ห้อง คอนโดศุภาลัย ศรีนครินทร์ 3 ห้อง คอนโดศุภาลัย มาเร่ย์ พัทยา 1 ห้อง บ้านพักในจังหวัดแพร่ 2 หลัง และอาคารพาณิชย์ในจังหวัดแพร่ 2 คูหา ผลการตรวจค้น พบเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับบริษัท อีเกิ้ล เกทส์ กรุ๊ป จำกัด และสามารถตรวจยึดทรัพย์สินมีค่าได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อขยายผลต่อไป
สำหรับพฤติการณ์ในคดีนี้ คือ เมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2559 มีผู้เสียหายหลายรายได้ยื่นหนังสือร้องเรียนมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อร้องเรียนกรณีบริษัท อีเกิ้ล เกทส์ กรุ๊ป จำกัด กับพวก
ซึ่งหลอกลวงให้ผู้เสียหายนำเงินไปร่วมลงทุน โดยอ้างว่าจะนำเงินลงทุนไปซื้อขายดัชนีหุ้นต่างประเทศเพื่อทำกำไร หากร่วมลงทุนแล้วจะได้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงมากถึงร้อยละ 3 - 20 ต่อเดือนตามแพ็คเกจที่ลงทุน และสามารถถอนผลตอบแทนและเงินต้นคืนได้ตลอดเวลา กลุ่มผู้กระทำผิดได้หลอกให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโดยสร้างความน่าเชื่อถือต่าง ๆ เช่น การจัดทำเว็บไซต์ที่แสดงว่าเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกมาจากสหรัฐอเมริกาและเปิดดำเนินการมาแล้วกว่า 10 ปี มีผู้เชี่ยวชาญที่จะนำเงินลงทุนของผู้เสียหายไปบริหารจัดการเพื่อให้ได้แต่ผลกำไรเท่านั้นโดยไม่มีการขาดทุน มีการแอบอ้างว่า มีสถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่งเป็นผู้รับประกันสภาพคล่องทางการเงินให้กับบริษัทฯ มีการจัดบรรยายชักชวนตามโรงแรมหรูต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งงานใหญ่ที่สุดจัดขึ้นที่พัทยา มีผู้ร่วมงานจำนวนหลายร้อยคน มีการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินที่มีชื่อเสียง นับเป็นการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทฯ และดึงดูดให้ผู้เสียหายลงทุนมากขึ้น และยังมีการใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุนและน่าเชื่อถือมาเป็นผู้บรรยายชักชวนเพื่อให้ผู้เสียหายเกิดความมั่นใจและหลงเชื่อร่วมลงทุนด้วย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าน่าจะสูงถึงกว่า 1.7 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากการสืบสวนสอบสวน พบว่า บริษัท อีเกิ้ล เกทส์ กรุ๊ป จำกัดกับพวก ไม่ได้ประกอบธุรกิจจริงตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งยังไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทใดๆ ในประเทศไทยอันจะสามารถจ่ายผลตอบแทนในอัตราที่สูงได้ตามที่โฆษณาอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังพบว่า กลุ่มผู้กระทำความผิดจำนวนมากทั้งชาวไทยและต่างชาติ ได้รวมตัวกันเพื่อก่อเหตุในคดีนี้โดยมีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เนื่องจากมีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยร่วมกันวางแผนทั้งในและต่างประเทศเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายในประเทศไทย และยังมีการจัดบรรยายชักชวนให้ผู้เสียหายในต่างประเทศหลงเชื่อร่วมลงทุนกับบริษัทฯ เช่น มาเก๊า จีน และมาเลเซีย ซึ่งในการแบ่งหน้าที่กันทำนั้นประกอบด้วย 2 กลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มแรกทำหน้าที่ในการเปิดบริษัทและทำกิจกรรมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น การจัดบรรยายตามโรงแรมต่างๆ และกลุ่มที่สองทำหน้าที่ในการยักย้ายถ่ายโอนเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากผู้เสียหาย ซึ่งรวมถึงการเปิดบัญชีบริษัทนอมินีขึ้นมาเพื่อรับโอนเงินจากผู้เสียหายโดยเฉพาะ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังเร่งติดตามจับกุมบุคคลตามหมายจับที่เหลือและเร่งขยายผลไปยังเครือข่ายต่อไป
กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการนี้ ให้เข้ามาให้ข้อมูลกับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเองและประโยชน์ในทางคดี และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอฝากเตือนไปยังประชาชน ให้ระมัดระวังการชักชวนให้ลงทุนที่อ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราที่สถาบันการเงินพึงจ่ายได้ และขอให้ตรวจสอบความเป็นมาของบริษัทหรือประวัติของผู้ชักชวนให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ หากมีข้อมูลหรือเบาะแสสามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ โทร. 1202 (โทรฟรีทั่วประเทศ)
********************************************