DSI ตรวจสอบกรณีบุกรุกที่ดินเขาใหญ่ของนักการเมืองเป็นคนละพื้นที่กับที่รับเป็นคดีพิเศษ

เผยแพร่: 21 ม.ค. 2563 16:09 น. ปรับรุง: 21 ม.ค. 2563 16:11 น. เปิดอ่าน 2585 ครั้ง  
 

DSI ตรวจสอบกรณีบุกรุกที่ดินเขาใหญ่ของนักการเมืองเป็นคนละพื้นที่กับที่รับเป็นคดีพิเศษ

ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อสาธารณะออนไลน์บางสำนักข่าว กรณีเจ้าหน้าที่ชุดพญาเสือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. เข้าตรวจสอบการแผ้วถางป่าเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ บริเวณตำบลเนินหอม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ต่อมามีผู้นำเอกสารสิทธิในที่ดินดังกล่าวมาแสดง โดยพบว่าเป็นของนักการเมืองคนสำคัญของจังหวัดปราจีนบุรี และมีการระบุในข่าวว่าที่ผ่านมามีการยื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อให้ดำเนินการแล้ว แต่เรื่องเงียบหายไป นั้น


พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สั่งการให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว พบว่า เมื่อ พ.ศ. 2554 ได้มีประชาชนมายื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้ตรวจสอบกรณีนักการเมืองชื่อดังของจังหวัดปราจีนบุรี มีพฤติการณ์ยึดถือครอบครองที่ดิน ก่นสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า ภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยออกเอกสารสิทธิครอบคลุมพื้นที่ป่าโดยมิชอบ ในเขตพื้นที่ตำบลโพธิ์งาม อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี จำนวน 22 แปลง เนื้อที่ประมาณ 251 ไร่ ภายหลัง รับเรื่องดังกล่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องไว้สืบสวน เป็นสำนวนสืบสวนที่ 189/2554 และคณะกรรมการคดีพิเศษได้มีมติในการประชุม ครั้งที่ 4/2555 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2555 ให้รับเป็นคดีพิเศษที่ 149/2555 ทางการสอบสวนพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องอยู่ในข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญาในการออกเอกสารสิทธิดังกล่าว จึงส่งเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ดำเนินการตามกฎหมาย และกรมสอบสวนคดีพิเศษได้สืบสวนขยายผลกรณีเอกชนบุกรุกที่ดินของรัฐ โดยต่อมารับเป็นคดีพิเศษที่ 136/2558 และรวบรวมพยานหลักฐานและเตรียมที่จะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ปรากฏว่าได้มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ประกาศใช้ ทำให้เรื่องเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการทั้งหมดเป็นอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมทั้งเรื่องที่เป็นของสำนักงาน ป.ป.ท. อยู่แต่เดิมด้วย และมาตรา 30 วรรคสอง ของกฎหมายดังกล่าว กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีอำนาจไต่สวนคดีความผิดทางอาญาอื่นที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกันและต้องดำเนินการไปในคราวเดียวกันกับเรื่องที่เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังนั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงส่งสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษที่ 136/2558 ไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายใหม่ และจำหน่ายคดีจากสารบบ


ต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีหนังสือ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2561 ส่งสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าวคืนมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยพิจารณาแล้วเห็นว่าสามารถแยกเรื่องเพื่อดำเนินการได้ กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงรับเรื่องไว้สอบสวนใหม่ เป็นคดีพิเศษที่ 2/2562 และทำการสอบสวน บัดนี้การสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว มีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้เกี่ยวข้อง ในความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2548 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 และประมวลกฎหมายที่ดิน จำนวน 12 คน คดีอยู่ระหว่างสรุปสำนวนการสอบสวนเสนอผู้บังคับบัญชา

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงชี้แจงมายังสาธารณชนว่า พื้นที่ตามที่ปรากฏเป็นข่าว เป็นคนละพื้นที่กับที่กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดี และในส่วนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษรับผิดชอบ มีการดำเนินคดีอาญากับผู้เกี่ยวข้องครอบคลุมทั้งส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐและเอกชน จึงเป็นการปฏิบัติงานที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย การนำเสนอข่าวดังกล่าวจึงมีความคลาดเคลื่อน และทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงชี้แจงข้อเท็จจริงมาเพื่อทราบ และขอความร่วมมือสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวพาดพิงการปฏิบัติงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานก่อนนำเสนอข่าว เพื่อลดโอกาสที่ทำให้สังคมเกิดความสับสน และได้รับข่าวสารที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง อันอาจส่งผลกระทบต่อหน่วยงานได้
จึงประชาสัมพันธ์ให้ทราบทั่วกัน

คณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ
21 มกราคม 2563

เอกสารที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ข่าวที่น่าสนใจ