รายงานความคืบหน้าการดำเนินคดีแกนนำ กปปส. จำนวน ๕๘ คน

เผยแพร่: 20 มี.ค. 2557 17:05 น. ปรับรุง: 20 มี.ค. 2557 17:05 น. เปิดอ่าน 1548 ครั้ง  
 

รายงานความคืบหน้าการดำเนินคดีแกนนำ กปปส. จำนวน ๕๘ คน กคพ. มีมติ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๖  ให้การดำเนินการกรณี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก ถูกกล่าวหากระทำความผิดอาญาสืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานครและบางจังหวัด ตั้งแต่วันที่  ๓ สิงหาคม ๒๕๕๖    เป็นต้นมา รวมถึงบุคคลอื่นที่มีส่วนในการกระทำความผิดด้วย และความผิดที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกัน เป็นคดีพิเศษ ในการสอบสวนได้ร่วมกันสอบสวน ๓ ฝ่าย โดยมีพนักงานสอบสวนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด (อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ) การประชุมคณะพนักงานสอบสวนได้เห็นชอบแจ้งข้อกล่าวหา  ผู้ต้องหาจำนวน ๕๘ คน ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ (ม.๑๑๓) , สมคบ  ตระเตรียม  สะสมกำลังพลเพื่อเป็นกบฏ (ม.๑๑๔) , ร่วมกันยุยงให้ประชาชนละเมิดกฎหมาย (ม.๑๑๖) , ร่วมกันยุยงให้ประชาชนร่วมปิดงานงดจ้าง (ม.๑๑๗) , มั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง (ม.๒๑๕) , เจ้าพนักงานสั่งให้เลิกไปแต่ไม่เลิก (ม.๒๑๖)   รายละเอียดปรากฎตามเอกสารแนบ ขณะนี้ศาลอาญาได้ออกหมายจับผู้ต้องหาไว้รวม  ๖  คน  

๔.๑ นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ

๔.๒ นายนิติธร  ล้ำเหลือ

๔.๓ นายอุทัย  ยอดมณี

๔.๔ นายรัชช์ยุตม์   ศิรโยธินภักดี หรือ อมร อมรรัตนานนท์

๔.๕ นายพิชิต  ชัยมงคล

๔.๖ นายกิตติชัย  ใสสะอาด

         พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหา กลุ่มที่ ๑ และกลุ่มที่ ๒ ทั้งหมดจำนวน ๓  ครั้ง  ส่วนกลุ่มที่ ๓ จำนวน ๒ ครั้ง แต่ผู้ต้องหาไม่มาตามหมายเรียก  โดยมีหนังสือแจ้งขอเลื่อนไปโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควร ขณะนี้มีการจับกุมตัวนายพิชิต  ชัยมงคล  และนายสนธิญาณ  ชื่นฤทัยในธรรมมาดำเนินคดีแล้ว และศาลอาญาได้ให้ประกันตัวไปโดยมีเงื่อนไขห้ามยุยง ปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง สิ่งที่จะดำเนินการเพิ่มเติม คือ จะแจ้งข้อหาในเรื่องการขัดขวางการเลือกตั้งกับแกนนำเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง เนื่องจากถือเป็นคดีที่ต่อเนื่อง เกี่ยวพันกับคดีพิเศษ สำนวนการสอบสวนจะเร่งสรุปมีความเห็นทางคดีโดยอาจมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดส่งให้พนักงานอัยการ ประมาณวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๗  โดยถือว่าเป็นกรณีมีตัวผู้ต้องหา  ( นายสนธิญาณฯ และนายพิชิตฯ)  ส่งให้พนักงานอัยการ   ซึ่งคาดว่าพนักงานอัยการอาจจะมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดได้โดยเร็ว   หากในที่สุดเมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องแล้ว  จะสั่งให้พนักงานสอบสวนจัดการให้ได้ตัวมาฟ้อง เมื่อพนักงานสอบสวนจะได้รับแล้วจะนำไปขอหมายจับต่อศาล   ซึ่งในข้อบังคับประธานศาลฎีกา ถือว่าคำสั่งฟ้องของพนักงานอัยการ  เป็นหลักฐานตามสมควรว่าผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำผิดอาญาแล้ว  จึงเป็นเงื่อนไขที่ศาลจะต้องออกหมายจับให้

 

 

ข่าวล่าสุด

ข่าวที่น่าสนใจ