สรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557
เผยแพร่: 19 ก.พ. 2557 13:07 น. ปรับรุง: 19 ก.พ. 2557 13:07 น. เปิดอ่าน 1810 ครั้งสรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557
ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้
1. ศรส.ขอแสดงความเสียใจต่อตำรวจและประชาชนที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศเมื่อเช้าวานนี้ และขอประณามกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ปะปนอยู่ในกลุ่มของผู้ชุมนุม แล้วใช้อาวุธสงครามร้ายแรง อันได้แก่ ระเบิดลูกเกลี้ยง ระเบิดเอ็ม 79 ปืนซุ่มยิงความเร็วสูง และปืนสั้นชนิดต่าง ๆ รวมทั้ง แก๊สน้ำตา ระดมยิงเข้าใส่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นผลให้มีตำรวจและประชาชนเสียชีวิตถึง 5 คน และบาดเจ็บรวม 68 คน จึงเป็นที่แน่ชัดว่า แกนนำ กปปส.ได้ จงใจและยินยอมให้มีกองกำลังติดอาวุธร้ายแรงเข้าปฏิบัติการดังกล่าว ศรส.ขอยืนยันว่า การปฏิบัติการของตำรวจชุดควบคุมฝูงชนนั้นปราศจากอาวุธ คงมีเพียงโล่ กระบอง และปืนยิงกระสุนยางเท่านั้น โดยเฉพาะตำรวจได้ปฏิบัติการภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างเปิดเผยต่อหน้าสื่อมวลชน และปฏิบัติการเป็นขั้นตอนตั้งแต่การเจรจา การกดดันด้วยกำลังพล และยุทธวิธีต่าง ๆ ซึ่งมิใช่เป็นการใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุมแต่อย่างใด ส่วนภาพทางสื่อมวลชนที่ปรากฏตำรวจถืออาวุธนั้น เป็นอาวุธปืนที่ใช้ยิงกระสุนยางเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตำรวจจำเป็นต้องมีหน่วยสนับสนุนที่มีหน้าที่คุ้มครองป้องกันหากตำรวจชุดควบคุมฝูงชนถูกอาวุธร้ายแรงทำร้าย ซึ่งสามารถกระทำได้ตามกฎหมายเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน แต่การปฏิบัติการเมื่อเช้าวานนี้ ตำรวจหน่วยสนับสนุนก็ไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงแต่อย่างใด คงมีเพียงการแสดงกำลังและอาวุธเพื่อป้องปรามตามยุทธวิธีเท่านั้น การที่แกนนำ กปปส. โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้พูดกล่าวหาและบิดเบือนว่า ตำรวจใช้อาวุธทำร้ายผู้ชุมนุม โดยตัดต่อภาพและพูดเท็จ จึงทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ขณะที่สื่อมวลชนต่างประเทศ คือ สำนักข่าว CNN และ BBC ได้เสนอภาพและข่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า มีคนร้ายใช้ระเบิดลูกเกลี้ยง และระเบิดเอ็ม 79 และอาวุธปืนยิงเข้าใส่ตำรวจอยู่ตลอดเวลา โดยตำรวจไม่ได้เตรียมการตั้งรับ จึงต้องบาดเจ็บและเสียชีวิต จนในที่สุดต้องถอนกำลังออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ และครั้นเมื่อภาพข่าวได้เผยแพร่ไปจนได้ความจริงปรากฏแก่ประชาชนแล้ว นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ แกนนำ กปปส. ก็มากล่าว ขอโทษแก่สื่อมวลชนว่าเป็นความบกพร่องของตนเองที่เขียนบทพูดหรือสคริปต์ ให้นายสุเทพฯ พูดผิดพลาดไป ดังนั้น จึงถือได้ว่า แกนนำ กปปส. จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้ประชาชนเข้าใจผิด ศรส. ยังได้รับแจ้งข้อมูลว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อเช้าวานนี้ เมื่อมีคนบาดเจ็บและเสียชีวิต ทางเจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าช่วยเหลือตำรวจและประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อนำส่งโรงพยาบาล แต่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมบางส่วนได้ขัดขวางปิดเส้นทางมิให้รถพยาบาลและเจ้าหน้าที่ทำการลำเลียงช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้อย่างสะดวก ซึ่ง ศรส. มีความห่วงใยในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
2. ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วมกรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้ง ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง ขณะนี้มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน 162 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง จำนวน 170 คดี รวมคดีทั้งสิ้น 332 คดี และศาลได้ออกหมายจับ ให้แล้วจำนวน 110 คน ขณะนี้ได้ตัวมาดำเนินคดีแล้วจำนวน 35 คน
3. ตามนโยบายของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส. โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม ศรส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ทำพิธีเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ ขณะนี้สามารถเปิดเพิ่มเติมได้อีก 5 แห่ง ได้แก่ กรมการกงสุล กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด กรมการขนส่งทางบก และการสื่อสารแห่งประเทศไทย รวมเปิดส่วนราชการได้ทั้งหมดถึง 53 แห่งแล้ว
จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน