สรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2557
เผยแพร่: 22 ก.พ. 2557 14:08 น. ปรับรุง: 22 ก.พ. 2557 14:08 น. เปิดอ่าน 1634 ครั้งสรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2557
ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้
1. ตามที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาและแจ้งคำบังคับในคดีที่นายถาวร เสนเนียม เป็นโจทก์ ฟ้อง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเลยที่ 1 กับพวก อันมีผลให้ ศรส.ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหลักตามกฎหมายได้ ดังเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วนั้น วันนี้ ผู้อำนวยการ ศรส. ได้มีหนังสือถึงพนักงานอัยการเพื่อให้ดำเนินการยื่นอุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลแพ่ง รวมทั้งขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาลแพ่งตามกฎหมายภายในวันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์นี้แล้ว ซึ่งผู้อำนวยการ ศรส. มีความมั่นใจว่าจะชนะคดี เพราะการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในครั้งนี้ ก็เป็นเรื่องทำนองเดียวกันกับเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อปี พ.ศ. 2553 ในคดีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งขอให้สั่งว่าการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นเป็นไปโดยมิชอบ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอน โดยศาลแพ่งในปีนั้นได้พิพากษาให้ยกฟ้อง เพราะเห็นว่า พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ มีเจตนารมณ์ที่จะให้อำนาจนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อบังคับใช้ทั่วราชอาณาจักรหรือในบางเขตท้องที่ได้ตามความจำเป็นแห่งสถานการณ์ การที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแก่นายกรัฐมนตรีในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ย่อมเป็นการใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย อยู่ในอำนาจหน้าที่และดุลยพินิจของฝ่ายบริหารโดยเฉพาะศาลมิอาจก้าวล่วงไปพิจารณาหรือทบทวนการใช้ดุลยพินิจของฝ่ายบริหารเช่นว่านั้นได้ ซึ่งในที่สุดศาลอุทธรณ์ก็ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลแพ่งในขณะนั้น ศรส.จึงเชื่อมั่นว่าศาลอุทธรณ์จะได้มีคำพิพากษาในเรื่องนี้ทำนองเดียวกับเมื่อปี พ.ศ. 2553
2. จากกรณีที่ศาลแพ่งอ้างผลของคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวินิจฉัยไว้ว่า การชุมนุมของ กปปส. เป็นไปโดยสงบ เปิดเผย และปราศจากอาวุธ จึงเป็นการชุมนุมโดยชอบนั้น ศรส.เห็นว่า การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเช่นนั้น เป็นข้อเท็จจริงในการชุมนุมช่วงแรกของ กปปส. แต่ครั้นต่อมาเมื่อเงื่อนไขของการชุมนุมคือการต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมได้จบสิ้นไปแล้ว กปปส. ก็มิได้เลิกการชุมนุม กลับยกระดับเป็นการชุมนุมขับไล่รัฐบาล มีการปลุกระดม เชิญชวน ให้มีการล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดินหลายเรื่องหลายกรณีดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว อาทิเช่น มีการประกาศจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล จัดตั้ง สภาประชาชนโดยไม่มีกฎหมายรองรับ จัดตั้งกองกำลังอาสาสมัครรักษาการแทนตำรวจขึ้นเป็นการเฉพาะ บุกรุกและปิดยึดสถานที่ราชการ ขับไล่ข้าราชการให้เลิกปฏิบัติหน้าที่ การสั่งให้หยุดงาน การสั่งให้หยุดการเสียภาษี ตัดน้ำตัดไฟสถานที่ราชการ ตั้งกองกำลังไล่ล่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เพิ่มเวทีการชุมนุมมากขึ้น ปิดการจราจรในถนนสำคัญ ๆ จนถึงประกาศปิดกรุงเทพมหานคร รวมถึงกระทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงด้วยการขัดขวางการเลือกตั้งทั้งในกรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดในภาคใต้ เป็นต้น ดังนั้น ศรส.จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยว่าการชุมนุมของ กลุ่ม กปปส. ดังกล่าว เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญภายในวันอังคารที่ ๒๕ กุมภาพันธ์นี้ ทั้งนี้ เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการชุมนุมของแกนนำ กปปส. ที่กระทำการแตกต่างไปจากเหตุเดิมเมื่อครั้งการชุมนุมต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม อนึ่ง การยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ จะเป็นการยื่นในนามขององค์กรพิเศษ คือ ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. โดยผู้อำนวยการ ศรส. จะเป็นผู้ลงนามยื่น ซึ่งแตกต่างจากที่เคยมีการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยเป็นการยื่นในนามบุคคลหลายคนและหลายครั้ง ซึ่งก็ล้วนเป็นเหตุการณ์ในอดีตทั้งสิ้น ศรส.จึงมั่นใจว่าศาลรัฐธรรมนูญจะได้นำเอาเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบันไปใช้ในการวินิจฉัยต่อไป
3. จากเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างกลุ่ม กปปส. กับตำรวจชุดควบคุมฝูงชน มีการใช้อาวุธสงครามร้ายแรง ระเบิดลูกเกลี้ยง ระเบิดเอ็ม 79 ปืนซุ่มยิงความเร็วสูง และปืนสั้นชนิดต่าง ๆ รวมทั้ง แก๊สน้ำตา ระดมยิงเข้าใส่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นผลให้มีตำรวจและประชาชนเสียชีวิตถึง 5 คน และบาดเจ็บรวม 68 คน ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์นั้น ศรส. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งรัดดำเนินการสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวโดยเร็ว และจะได้ชี้แจงความคืบหน้าให้พี่น้องประชาชนทราบเป็นระยะโดยด่วนต่อไป ศรส.ขอเรียนย้ำและยืนยันต่อพี่น้องประชาชนว่า การสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศนั้น จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และจะใช้กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยจะมีการเผยแพร่ให้ประชาชนทราบอย่างเปิดเผย แต่เพื่อความรอบคอบจึงจำเป็นต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง โดยในชั้นนี้ ขอให้ประชาชนรอฟังผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการ เพราะจะมีความถูกต้องและสมบูรณ์ตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ส่วนการที่แกนนำ กปปส. ได้แถลงพร้อมแสดงภาพคลิป ภาพนิ่งต่าง ๆ นั้น ศรส.ได้ตรวจสอบแล้ว เป็นการบิดเบือนไม่ตรงต่อความเป็นจริง จนอาจทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่าตำรวจเป็นฝ่ายก่อเหตุ ทั้ง ๆ ที่เป็นกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ยอมรับและกล่าวขอบคุณกองกำลังติดอาวุธเช่นว่านั้น
จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน