สรุปผลการประชุม ศอ.รส. เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗

เผยแพร่: 8 พ.ค. 2557 16:14 น. ปรับรุง: 8 พ.ค. 2557 16:14 น. เปิดอ่าน 1284 ครั้ง  
 
สรุปผลการประชุม ศอ.รส. เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ 
 
 
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้
 
เรื่องที่ ๑ จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย ที่ ๙/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๗ กรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี และได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง และยังได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีที่มีส่วนร่วมในการลงมติในคราวนั้น ต้องสิ้นสุดไปด้วยนั้น ในวันนี้ที่ประชุม ศอ.รส. ได้ร่วมกันพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ ศอ.รส. ดังนี้
 
 
ในประเด็นแรกเกี่ยวกับสถานภาพของ ศอ.รส. ที่ประชุมฯ มีความเห็นว่า ศอ.รส. เป็นหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนั้นคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ ศอ.รส. แต่อย่างใด 
 
 
ในประเด็นที่สองเกี่ยวกับสถานภาพของ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส. ที่ประชุม ศอ.รส. มีความเห็นว่า การดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ศอ.รส. ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ไม่ได้สิ้นสุดหรือพ้นไปจากผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงกรณีกระทำการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๒ (๗) แห่งรัฐธรรมนูญ ย่อมต้องหมายถึงความเป็นรัฐมนตรีในขณะที่ได้ร่วมพิจารณาและมีมติในการประชุมรัฐมนตรีครั้งนั้นๆ แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่า ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งต่อมาได้มีการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวแล้ว ฉะนั้นการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในภายหลังจนถึงปัจจุบันจึงเป็นการดำรงตำแหน่งที่มิได้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาและมีมติในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งดังกล่าว จึงไม่น่าเป็นเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๘๒ (๗) อีก      
 
 
กรณีดังกล่าวย่อมเป็นผลเช่นเดียวกันกับนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษา ศอ.รส. ก็ย่อมพ้นไปเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพียงตำแหน่งเดียว แต่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งภายหลังอีกตำแหน่งหนึ่ง จึงหาพ้นไปตามผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐมนธรรมนูญแต่อย่างใด   
 
 
เรื่องที่ ๒ ตามที่ ศอ.รส. ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ ๓ เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และกลุ่มผู้สนับสนุน กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเพื่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ศอ.รส. ขอเรียนว่า เหตุผลที่ ศอ.รส. ต้องออกแถลงการณ์ดังกล่าว เนื่องจากขณะนั้นมีข้อมูลอย่างเพียงพอที่ได้บ่งชี้ว่าจะเกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ    ศอ.รส. โดยเฉพาะการระดมจัดมวลชนให้มีการชุมนุมใหญ่ทั้งของ กปปส. และ นปช. และกลุ่มอื่นๆ ในลักษณะท้าทายและแข่งขันกัน ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือ การวินิจฉัยขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ๒ องค์กร คือ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่ง ศอ.รส. มีความกังวลและห่วงใยต่อสถานการณ์ในขณะนั้นเป็นอย่างมาก เพราะขณะนั้นความขัดแย้งและการจัดแนวร่วมของแต่ละฝ่ายขยายตัวในวงกว้าง มีกลุ่มประชาชนที่สนับสนุนและคัดค้านแต่ละฝ่ายจำนวนมาก และมีการกล่าวหาว่าองค์กรอิสระบางองค์กรเป็นแนวร่วมกับบางกลุ่มด้วย ตลอดจนมีความพยายามจัดการเลือกตั้งให้เนิ่นช้าออกไป เพื่อให้ปัญหาลุกลามและเกิดสุญญากาศตามแนวทางของบางฝ่าย 
 
 
ศอ.รส. ขอยืนยันว่าในการออกแถลงการณ์ดังกล่าว ศอ.รส. มิได้มีเจตนาที่จะก้าวล่วงหรือกดดันการพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่แถลงการณ์ดังกล่าวมีจุดประสงค์สำคัญในการป้องกัน ระงับ ยับยั้งและแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ของ ศอ.รส. อันเป็นความจำเป็นที่ไม่อาจจะละเลยได้ ดังนั้น ศอ.รส. จึงได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ ๓ ซึ่งประกอบด้วยข้อห่วงใยและข้อวิตกกังวลของ ศอ.รส. ดังมีรายละเอียดตามแถลงการณ์ที่ได้เผยแพร่ไปแล้ว 
 
 
และเมื่อวานนี้ ศอ.รส. ได้รับทราบผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้พิพากษาให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่มีส่วนร่วมและลงมติเห็นชอบการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี สิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๘๒ วรรค ๑ (๗) แต่คณะรัฐมนตรีที่เหลือยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
 
 
จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งคำวินิจฉัยดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง และจะทำให้การบริหารประเทศยังคงดำเนินต่อไปได้จนกว่าจะมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ 
 
 
อนึ่ง ศอ.รส. ของดเว้นที่จะมีความเห็นต่อเนื้อหาสาระของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ ศอ.รส. ยังยืนยันว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวยังคงนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย เช่น เหตุยิงระเบิดเอ็ม ๗๙ เข้าใส่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ รวมทั้งเหตุปาระเบิดเข้าใส่บ้านพักของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อคืนที่ผ่านมา
 
 
ทั้งนี้ ศอ.รส. ได้ปรับแผนอัตรากำลังเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมใหญ่ของ กปปส. ซึ่งจะเริ่มในวันที่ ๙ พฤษภาคม และการชุมนุมใหญ่ของ นปช. ซึ่งจะเริ่มในวันที่ ๑๐ พฤษภาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ศอ.รส. ขอเรียกร้องพี่น้องประชาชนให้ใช้วิจารณญาณหลีกเลี่ยงการร่วมชุมนุม ไม่ว่ากับกลุ่ม กปปส. หรือกลุ่ม นปช. เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง โดยล่าสุด ศอ.รส. ก็ได้รับรายงานถึงการใช้ความรุนแรงของการ์ด กปปส. ที่ได้ทำร้ายนักข่าวต่างประเทศที่ไปทำข่าวที่ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคมที่ผ่านมา และแม้ว่าการเข้าร่วมการชุมนุมจะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่หากมีการกระทำผิดกฎหมายอย่างหนึ่งอย่างใดในการเข้าร่วมชุมนุมแล้ว ท่านก็จะต้องถูกดำเนินคดีทุกคนไปโดยไม่มีการละเว้น ส่วนแกนนำทุกคนจะต้องรับผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง โดย ศอ.รส. จะบังคับใช้กฎหมายกับผู้ชุมนุมทั้งสองกลุ่มอย่างเท่าเทียมกันเพื่อป้องกันเหตุร้ายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น 
 
 
เรื่องที่ ๓ ศอ.รส. ได้รับรายงานว่า ตามที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ที่ ๒๖๑/๒๕๕๖ อันประกอบด้วยพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการ ได้ร่วมกันทำการสอบสวนคดีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ชุดที่ ๑ รวม ๕๒ คน และส่งสำนวนการสอบสวนไปให้พนักงานอัยการพิจารณานั้น ในวันนี้ ศอ.รส. ได้รับแจ้งว่า พนักงานอัยการของสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งฟ้องแกนนำชุดที่ ๑ ทั้งสิ้น ๕๑ คน และสั่งไม่ฟ้องเพียง ๑ คน และได้ฟ้องคดีกับแกนนำที่มีตัวอยู่ในอำนาจของศาลแล้ว ๒ คน คือ นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม และนายสกลธี ภัททิยกุล ส่วนแกนนำคนอื่นๆ จะได้ดำเนินการออกหมายจับเพื่อนำตัวมาฟ้องโดยเร็วต่อไป 
 
 
สำหรับฐานความผิดที่พนักงานอัยการส่งฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ชุดที่ ๑ ทั้ง ๕๑ คนนั้น มีทั้งสิ้น ๙ ฐานความผิด คือ ๑) ร่วมกันเป็นกบฎ ๒) กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ๓) มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ ๔) มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป และเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกไปแต่ไม่เลิก ๕) ยุยงให้ร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิดงาน งดจ้าง เพื่อบังคับรัฐบาลฯ ๖) ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปในเวลากลางคืน ๗) ร่วมกันขัดขวางเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง และร่วมกันขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง ๘) ร่วมกันกระทำการโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อไม่ให้ผู้เลือกตั้งสามารถใช้สิทธิได้ หรือขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป ณ ที่เลือกตั้งหรือเข้าไป ณ ที่ลงคะแนนเลือกตั้ง และ ๙) ร่วมกันเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร ทั้งนี้ สำหรับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายชุมพล จุลใส พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องในฐานความผิดร่วมกันก่อการร้าย เพิ่มเติมอีก ๑ ข้อหาด้วย
 
 
จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน
 
     ______________________ 
 

ข่าวล่าสุด

ข่าวที่น่าสนใจ